รศ.ดร.จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ อาจารย์และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยและวิชาการด้านการควบคุมยาสูบภาคเหนือ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผย ผลการวิจัย เรื่อง “การใช้บุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนมัธยมศึกษา และการปรับตัวในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ในสถานการณ์ การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าของครูในโรงเรียน” ระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2566 โดยกลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 6,147 คน จาก 16 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาพบว่า นักเรียน 9.6% มีประสบการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในรอบ 30 วันที่ผ่านมา และที่สำคัญนักเรียนที่ไม่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้า 17.6% มีความตั้งใจที่จะทดลองใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอนาคต
“เด็กนักเรียนขาดความรู้และมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องต่อบุหรี่ไฟฟ้าใน 10 เรื่อง ดังนี้
1) 49.2% เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับในกลุ่มวัยรุ่น
2) 40.5% ไม่รู้ว่าการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองผิดกฎหมาย
3) 39.3% ไม่รู้ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะผิดกฎหมาย
4) 39.3% ไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าห้ามนำเข้ามาในประเทศไทย
5) 39.3% ไม่เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
6) 36.6% ไม่เชื่อว่าการได้รับไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองมีอันตรายต่อสุขภาพ
7) 35.8% ไม่เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ปอดอักเสบรุนแรง (EVALI)
8) 34.2% ไม่เชื่อว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสมองและการเรียนรู้
9) 21.8% เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่แบบมวนได้
10) 20.5% เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบมวน” รศ.ดร.จักรพันธ์ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า จากผลการวิจัยดังกล่าว น่าเป็นห่วงที่เด็กนักเรียนไทยได้รับมายาคติความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่พยายามทำการตลาดบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน ทั้ง ๆ ที่มีนิโคตินเท่ากันหรือมากกว่าบุหรี่มวน จึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อทุกระบบของร่างกายโดยเฉพาะต่อสมองที่กำลังเจริญเติบโตของเด็กและเยาวชน